เรื่องเซ็งท้ายปี

กะว่าหยุด 4 วันจะไม่เปิดคอมซะหน่อย
แต่มันก็ต้องมีเหตุให้เปิดจนได้
ไม่รู้ทำม๊าย ทำไมช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีมีแต่เรื่องเซ็งๆ
เรื่องแรกก็…17-19…ขอข้ามไปละกัน
เรื่องที่สองคืนคริสต์มาสไปกินกับเพื่อนจุฬาฯ ที่โอเกะเกเรมีคนทำผิดจุด…ไม่เล่าดีกว่าเผาเพื่อนมันไม่ดี
เรื่องที่สามคุโรมาตี้โดนตัดจบ มันจบไปนานแล้วล่ะแต่เพิ่งรู้ หยั่งงี้จะเอาอะไรมาบั่นทอนปัญญาล่ะ
เรื่องที่สี่วันที่ 28 ไปกินกันกับเพื่อนโยธิน ก็ทำให้รู้ว่า "เหลือแต่เราแล้วเหรอเนี่ย"
เรื่องที่ห้า เป็นเรื่องหนักสุดจนทนไม่ไหวเลยต้องมาพิมพ์ระบาย
"เลย์ค้างปีในตู้เย็นที่กินเข้าไปมันมีขี้กาจั๊วะอยู่"
ถ้าช่วงนี้ไม่เห็นผมก็รู้ไว้เลยว่าเป็นเพราะไอ้แมลงสาบพวกนั้นน่ะแหล่ะ
 
 
เอาน่ะถือเป็นการล้างซวย เพื่อปีหน้าจะได้มีแต่เรื่องดีๆละกัน
แล้วก็ขอให้ทุกๆคนเจอแต่เรื่องดีๆทั้งการงาน และความรักนะครับ ปีหน้าเจอกัน
 

บรรยากาศในวงเหล้า

ใกล้สิ้นปีแล้วเลยมาปั๊ม blog หน่อยเดือนนึง สามเรื่อง
เรื่องที่สามนี่มาเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับเลขสามละกัน
ผ่านการปฐมนิเทศรอบ 3 รูปก็ไม่ได้ถ่ายมาให้ดูเพราะโดนแบนอยู่
เลยขอเล่าบรรยากาศให้ฟังเฉยๆละกัน
บรรยากาศทั่วไปมันเนือยๆ และตึงเครียดเล่าไปก็ปวดหัว
งั้นมาเล่าเกี่ยวกับบรรยากาศในวงเหล้าดีกว่า
ที่ผมไปนั่งไม่ใช่เพราะเป็นพวกชอบดื่มนะ
เหตุผลสามประการที่ผมไปอยู่กับพวกขี้เมา
1.อยากรู้ข้อมูลอะไรก็…ดื่ม
ไปนั่งๆเนี่ยอยากรู้ข้อมูลอะไร เกี่ยวกับใครแย้บๆถามไปได้หมด
พวกพี่ๆเขาดื่มจนเป็นขั้นปราชญ์แล้วรอบรู้ทุกอย่างถามไป
ใครคนไหนเป็นยังไง กับใคร อยากรู้ถามไป ได้หมด (แอบมีผิดหวังเล็กน้อย แต่ช่างแม่ง)
2.ระแวง…ดื่ม
ใครอยู่นอกวงนั้นคนนั้นจะกลายเป็นประเด็นในการสนทนา
มันเป็นกฎที่ใครๆก็รู้อยู่
3.อยากเฮฮาเอ้า…ดื่ม
เหตุผลส่วนใหญ่ที่ผมไปนั่งดื่มด้วย เพราะมันตลกดี
คนเมาอ้วก…ขำ
คนเมาซึม…ขำ
คนเมาปล่อยมุข…ขำ
คนเมาโดนด่าฟรีๆ…ยังขำ
คนเมาเต้น…เอ้าขำ
คนเมาชกกัน…เราไม่เกี่ยว ขำต่อไป
สังเกตุพฤติกรรมคนเมา…ขำสุดแล้ว…ไม่รู้มันจะรวบรวมลูกโป่งไปทำแป๊ะอะไร
แต่คงขำไม่ออกแน่ถ้าพวกพี่ๆเขารู้ว่า “ในมือที่ผมถืออยู่น่ะมันน้ำส้มนะคร้าบ”
ปล.ดันหัวเราะมากไปหน่อยเสียงยังแหบอยู่เลย เสียงไม่ใสแล้วสิเรา…เศร้า

กลัวที่ไหน

แหม่ แหม่ ความปากดีเป็นเหตุอีกแล้วสิ
คราวก่อนพี่เขาถาม "เคยไปต่างประเทศป่าว"
ตอบ "ไม่เคย ทำไมครับ"
"แล้วเคยนั่งเครื่องบินป่าว"
ตอบ "ไม่เคยครับ"
"กะว่าจะส่งไปมาซิโดเนียน่ะ ไปไหวป่าว ไปคนเดียวนะ"
ปากมันดันตอบว่า "กลัวที่ไหนล่ะคร้าบ กด enter ยืนยันไปเลย"
ก็คิดว่าเขาพูดเล่น แถมส่งไปพร้อมกับรุ่นพี่อีกคน ยังไงก็มีเพื่อน
ถ้าเขาเลือกคนเดียวน่าจะเลือกคนประสบการณ์มากกว่า
ที่นั่นดันเป็นพวกรักเด็ก มาเลือกผมซะได้
เอาน่ามันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย สนุกดีอืกตะหาก
ไม่งั้นคงไม่มีโอกาสนั่งเครื่องบินกับไปต่างประเทศหรอก
ครั้งนี้ถือว่าปากพาเรื่องดีๆมาให้ก็แล้วกัน
 
แต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ดันปากดีอีกระลอก
พี่เขาถาม "นั่งว่างนี่ไปวิ่งมาราธอนกันป่าว"
ตอบ "กี่กิโลล่ะครับ"
"4.4 กิโล ประมาณสองรอบ"
ตอบ "(นึกว่าสองรอบสนามบอล)โห สบายพี่ไปวิ่งกันเลยดีกว่า"
"เฮ้ย ไม่เคยออกกำลังกาย แถมไม่ได้วอร์ม ลงรอบเล็กก่อนดีกว่ามั๊ย 1รอบ 1.8กิโล"
ตอบ "1.8โล ไปเดินช้อปปิ้งหลังสวน(ที่ๆเขาขายของกันเยอะๆข้างหลัง กฟผ.)ดีกว่ามั้งพี่ ลงทีเต็มที่กับชีวิตหน่อย"
ที่ไหนได้ดันเป็นวิ่งรอบ กฟผ. 2รอบ แถมวิ่งขึ้นแรมป์(ที่ตอนกำลังก่อสร้างบ่นเรื่องทางระบายน้ำบ่อยๆ)ลานจอดรถอีก
เข้าเกือบที่โหล่ ขายหน้าชะมัด เกือบเอาชีวิตมาทิ้งไว้แล้วสิเรา
อย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้ว่า
 
"นี่ผมอ่อนแอกว่าคนแก่อายุ 50+ อีกเหรอเนี่ย"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความสดอย่างเดียวไม่สามารถช่วยคุณได้
 
เอาน่าปีหน้าลองใหม่ จะไม่ใส่สแลกไปวิ่งแล้ว

Reality Show

วันนั้นนั่งดู reality show ที่ดูเป็นประจำคือ ‘survivor’
ทำไมทุกๆซีซั่นเวลาดูต้องคิดว่า "ทำไมมันโง่หยั่งงี้น้า"
ทำไมต้องเชื่อคนโกง คนที่มองปุ๊บรู้ปั๊บไอ้นี่โกง โดนหลอกแน่ๆ
แต่ทำไรได้
ได้แต่นั่งบ่นหน้าจอ
ทำอะไรไม่ได้
 
พอมาดูโลกความจริง
มันก็เป็นอย่างนั้นแหล่ะ
ชอบเชื่อคนที่…
แล้วเราทำอะไรได้มั่ง
ได้แค่มอง
พูดออกไป เราก็กลายเป็นคนเลว…เฮ้อ
 
"แล้วจะทำอย่างไรดี"