สร้างภาพด้วย AI

เคยไหมครับ อ่านนิยาย (นิยายแบบตัวหนังสือยาวพรืดนะไม่ใช่การ์ตูน) แล้วนึกภาพตามจินตนาการที่โลดแล่นอยู่ในหัวตามคำบรรยายที่เป็นตัวหนังสือ ซึ่งบางเรื่องบรรยายซะจนแทบจะได้กลิ่นออกมาเลย เอ๊ะ พอเวลาผ่านไปอ่านเรื่องเดิมเล่มเดิมภาพที่นึกในหัวอาจไม่เหมือนเดิม ในปัจจุบันการพัฒนา Machine Learning สามารถสร้างข้อความเหล่านั้นให้เป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว และก็มีมากมายหลายแอปที่เปลี่ยนข้อความเป็นภาพได้ในตลาดทุกวันนี้ วันนี้เลยมาขอนำแอปสร้างภาพด้วย AI ตัวนึงที่ผมใช้แล้วชื่นชอบมากที่สุดมานำเสนอครับชื่อว่า Anime AI Drawing : Art Generator ของผู้พัฒนา YAO SHIBIN ครับ

เป็นแอปฟรีโหลด ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อวันในการสร้างภาพ แต่ต้องดูโฆษณา

ลองใส่คำบรรยายแล้วให้แอปสร้างภาพ สิทธิพิเศษจากการสมัคร Pro (ที่ผมใช้) คือไม่ต้องดูโฆษณา กับสามารถสร้างภาพ UHD ได้จากธรรมดาภาพจะมีความละเอียดประมาณ 576px ถ้าเป็น UHD จะอยู่ที่ 1152px ส่วน Style การวาดอันนี้ไม่ค่อยสนครับเพราะปกติใช้แค่ ACG Pro (ภาพแนวการ์ตูน) กับ 2.5D (ภาพแบบในรูปข้างล่าง)

ลองให้วาดผู้ชายบ้างพบว่าวาดได้ยาก บางที (บ่อยเลยล่ะ) ระบุว่า boy แต่ออกมาเป็นผู้หญิง

ลองภาพสถานที่กับสัตว์บ้าง

ใส่คำบรรยายแล้วบางทีก็ ยังไง๊มันก็ไม่เด็ก ยังไง๊มันก็ไม่ชาย คราวนี้ลองใช้แบบมีตัวอย่างรูปครับ Upload image เปลี่ยนรูปถ่ายให้เป็นรูปวาดแบบที่เห็นกันมานานแล้ว เจ้าของบล็อกก็หน้าตาประมาณในรูปแหล่ะครับ (5555)

จากทีชอบใช้ 2 สไตล์คือ ACG Pro จะเ็นภาพวาดแนวการ์ตูน รูปที่ได้สัดส่วนจะใกล้กับรูปต้นแบบมากกว่า และหน้าจะยิ้มแทบตลอด ส่วนแบบ 2.5D จะได้สวยแบบจิก หุ่นดีเว่อร์อีกต่างหาก สวยทั้งคู่ครับ

แอป AI วาดรูปทั้งหลายในท้องตลาดต่างก็มีจุดเด่นจุดด้อยที่ต่างกันไป แต่โมเดลของแอปนี้รู้สึกจะถูกจริตกับผมที่สุดครับ

OMG! ช่วงนี้บนโซเชียลพูดถึงเยอะจัง

หนังไทยในกระแสโซเชียลช่วงนี้ครับกับเรื่อง omg! รักจังวะ..ผิดจังหวะ ที่น่าจะพูดถึงกันเยอะเพราะลง netflix พอดี ด้วยความที่พูดถึงเรื่องตอนจบ และวิจารณ์ด่ากันเยอะมากทำให้ต้องตามไปดูว่าเป็นยังไง

ผลปรากฎว่า … ไม่อินครับ

แต่ทั้งนี้ไม่ใช่หนังไม่ดีนะ ดูเพลินจนจบเลย อาจจะเพราะนางเอกเป็นประเภทสาวติสต์ สาวเซอร์ ซึ่งไม่ใช่แนว หรือ มุขส่งรูปลิง-หมา กลับกันไป-มา … น่ารำคาญครับ เอ๊ะ หรือเราเป็นคนเห็นแก่ตัว เลยดูเรื่องนี้แล้วไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร หรือเพราะ … ชีวิตเราคล้ายกับพระเอก !!!

คือไม่กล้า เพื่อนผู้หญิงดีๆก็มากมาย แต่แบบว่ามันจีบผู้หญิงไม่เป็นนี่ มันจะมีอารมณ์แบบว่า “ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ไม่อยากทำพลาดแล้วเสียไป” ทำให้ “ไม่เคยมีแฟน และ ไม่เคยแย่งแฟนใคร” ก็คงเป็นจุดที่ไม่อินนี่ล่ะมั้ง (แต่แบบพระเอกในหนังนี่ ไม่เรียกว่าขี้อายหรอก ชีวิตจริงถือว่าหน้าหม้อพอตัวเลยล่ะ)

พูดถึงตัวละครที่ทุกคนเชียร์อย่างพีทบ้าง ที่เป็นผู้ชายแทบจะเพอร์เฟคท์ทุกอย่าง ไม่เคยทำร้ายใคร มีฉากนึงนางเอกถูกถามเรื่องโอเคมั้ย นางเอกตอบแบบว่า “ไม่รู้ ไม่แน่ใจ อาจจะดีที่ทำให้ตัวนางเป็นคนที่อยู่ในร่องในรอยขึ้น” (จำคำเป๊ะๆไม่ได้น่ะนะ)

ถ้าบทสรุปแบบนี้ตอนจบลงเอยกับพีท นางเอกจะมีความสุขจริงๆหรือ นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดจริงๆหรือ อยู่เพื่อฐานะ ? อยู่เพราะเขาดี ? ต้องกลับไปหานิยามคำว่า “ความรัก” ซะแล้ว ลองนึกถึงภาพว่าเราไปเที่ยวในที่ที่นึง ทำกิจกรรมเหมือนๆกัน พูดเหมือนๆกัน กับสาวคนละคนกันความรู้สึกไม่เหมือนกันแน่นอน อย่างนั้นล่ะมั้ง

ถ้างั้นทำไมนางเอกไม่ตอบปฏิเสธไป
คนเขียนบทก็บอกแล้วมั้งครับ ว่าหนังเขาไม่ได้มาสอนคน ไม่ใช่ละครคุณธรรม คิดเองสิ

สิ่งที่ดูแล้วเอะใจในหนังจุดนึงก็คือ

กายแม่งอยู่ไปทุกที่เลย

ในวันที่หัวเราะ ในวันที่ร้องไห้ กายมันอยู่ด้วยตลอด เป็น “คนสักคน” ที่คอยอยู่เคียงข้าง แม้ว่าจะอ่อนแอแบบโนบิตะรึเปล่า

ปล. แต่การทำครอบครัวคนอื่นแตกแยกก็ไม่ไหวนะ สุดท้ายก็จบแบบไม่ได้แดกซักคน แต่ก็นั่นแหล่ะ หนังมีไว้ดูเพื่อความบันเทิงไม่ได้มีหน้าที่มาสอนคุณธรรม

เซียนมวยปล้ำ

วันนี้มาบ่นเรื่องที่เห็นในเฟซแล้วหงุดหงิดอย่างเพจมวยปล้ำ “ดูถูกสติปัญญา” ที่ครั้งหนึ่งเคย “เม้งแตก” กราดด่ากีฬาอื่นไปทั่วว่ามีการวางบท (มีล้มบอล = ฟุตบอลคือการแสดง ตรรกะโคตรเทพ) ส่วนเป็นเพจไหนหากคนติดตามเรื่องราวมวยปล้ำตามเฟซบุ้คก็คง “อ๋อ” กันแหล่ะ

อ้าว เฮ้ย ดูหน้าแอดมินแต่ละคนก็น่าจะอายุเกิน 10 ขวบกันแล้วนะ (ตอนเด็กๆผมคิดว่า Lord Steven Regal เป็นตำแหน่ง Lord จริงๆแล้วเถียงกับพ่ออะไรแบบนั้น) ตอนนั้นก็ว่าเป็นความเห็นแค่คนคนเดียว แต่ยิ่งติดตามยิ่งเข้าใจ “มันเป็นอย่างนี้ทั้งแกงค์จริงๆ” โลกนี้มีเพียงกลุ่มเขาที่ดูมวยปล้ำเป็น หากสนุกกับ E ถือว่าโง่ !!

ย้อนกลับไปสมัยก่อนดูมวยปล้ำกับพี่ตั้งแต่ยุคเช่า VDO square ชื่นชอบมวยปล้ำมากรู้สึกว่า “โคตรเท่ห์” จริงๆ พี่น้อง 4 คนเลือกจองนักมวยปล้ำกันคนละตัวครับ โฮแกน ริคแฟลร์ สติง และเวเดอร์ ตอนนั้นไร้เดียงสาถึงขนาดดูไปด่ากรรมการไปว่าโง่เซ่อ อีกฝั่งขี้โกง หรือสงสารริคแฟลร์ตอนโดนเวเดอร์เหยียบหน้า ในแมทช์แพ้เลิกปล้ำ นึกถึงแล้วสนุกจริงๆ พอโตขึ้นมาสมัย IBC มี WCW ส่วน SkyTV มี WWF ความสนุกมันก็ไม่ได้ลดลงแต่ดูด้วยความเข้าใจมากขึ้น จากแต่ก่อนอาจ “ด่า nWo ว่าขี้โกงชอบรุม” เป็น “น่ารำคาญเพราะผลแบบยุติการปล้ำตลอด” จากด่านักมวยปล้ำเป็นด่าคนเขียนบทแทน ประสบการณ์ที่มากขึ้นบอกอะไรเราบ้าง

  • อิมเมจสำคัญไม่แพ้ฝีมือ ทำไมแต่ก่อนถึงหลงไหลนักมวยปล้ำแบบโฮแกน สติง ริคแฟลร์ทั้งที่เอาจริงๆฝีมือก็ไม่ได้โดดเด้ง เทคนิคพลิกล้อคแบบเบรทฮาร์ท เคิร์ท หรือเบนวา แต่ก็ยังเป็นนักมวยปล้ำที่เราอยากเห็นบนเวที สมัยนี้มวยปล้ำตามค่ายเรามักจะเห็น “จิ๊กโก๋” กับ “คนบ้า” เต็มไปหมด ดูแล้วไม่เบื่อกับความมักง่ายในการสร้างคาแรคเตอร์บ้างเหรอ
  • ต่อจากข้างบนคือ “บทปัญญาอ่อน” ที่ยัดเยียดเข้ามา บางทีดูแล้วก็ไม่ชอบแหล่ะ แต่พอคิดดูว่าถ้าขาดคาแรคเตอร์ที่หลากหลาย นักมวยปล้ำจะเอาแต่ “บทเท่ห์ๆ” สุดท้ายก็คงไม่พ้นมีแต่ “จิ๊กโก๋” กับ “คนบ้า” นมป.คนนี้กับ นมป.คนนั้นต่างกันยังไง นอกจากอิมเมจแล้วก็ยังเรื่องของมูฟเซตที่ใครหลายคนเกลียด แต่ผมว่ามันก็สร้างความแตกต่างของแต่ละตัวละครได้ดีเหมือนกันนะ
  • กระโดดไปมาไม่ได้แปลว่าปล้ำดี ในปัจจุบันที่เราจะได้เห็นนักมวยปล้ำตัวเล็ก วิ่ง-กระโดดไปมารอบๆเวที เตะๆตอดๆ มองแล้วก็ เออ สนุกดี แต่นานๆไปดูแล้วไม่ได้สร้างอิมแพคอะไร กลายเป็นดูยิมนาสติกซะงั้น หลายทีดูไปก็สงสัย “มันจะกระโดดไปทำไม (วะ)” สไตล์มวยปล้ำไม่ได้มีเฉพาะประเภท high-fly ตัวเล็กปล้ำเร็ว มันมี powerhouse ด้วยช้าแต่ดูหนัก…ดูแล้วเชื่อว่าหนัก ไม่ใช่เอะอะใส่ท่า power bomb แต่ไม่ได้ดูมีอิมแพคอะไร แต่ทั้งนี้ก็อยู่ที่คนเซลท่าด้วย
  • ปล้ำดีคืออะไร ทุกครั้ง เน้นว่า ทุกครั้ง นะครับ ที่ผมดู AEW สมาคมสุดยอดของชาวโอตาคุมวยปล้ำไทย ผมจะเจอการ “คอยท่า” กับ “นอนเขยิบ” เราจะไม่ค่อยเห็นท่าอย่างว่านักใน WWE หรืออย่างน้อยก็ทำเนียนกว่า ไม่ใช่นอนๆอยู่ดิ้นแด่วๆเป็นปลาตกพื้นไปที่จุดนัดหมาย “คอยท่า” กับ “นอนเขยิบ” เป็นยังไงต้องลองไม่ดูแบบ “ที่รัก” จะเห็นเองครับ ชัดและบ่อยมาก TNA ก็เช่นกัน
  • ปล้ำพลาด ปล้ำอันตราย ก็ไม่ได้แปลว่าปล้ำมันส์ ปล้ำห่วยไม่ได้แปลว่า REAL มันคือขาดการฝึกซ้อม ไม่อย่างนั้น Backyard wrestling ก็คือสุดยอดน่ะสิ
  • แน่นอน เลือดออกก็เช่นกัน มวยปล้ำสนุกไม่ได้แปลว่าต้องมีเลือด และมีเลือดก็ไม่ได้แปลว่าต้องสนุก มีมากไปมีทุกแมทช์ทำให้น่าเบื่อด้วยซ้ำ แต่อย่างว่าเด็กน้อยอาจชอบนะ อยากแสดงว่า “กุชอบเลือด” “กุโหด” “กุโตแล้ว” แล้วก็เย้วๆขดตัวกันอยู่ในห้อง ออกนอกห้องมาก็หงอยเหมือนเดิม
  • wrestling หรือ entertainment ในค่ายหลักมันคือ การแสดงทั้งหมด ยอมรับหน่อย !! ผิดพลาดบ่อยไม่ได้แปลว่าความเป็น wrestling มันจะมากขึ้น แต่ที่แน่คือความ entertain น้อยลง
  • ปล้ำเก่งไม่ได้แปลว่าต้องชนะ ปล้ำดีไม่ได้แปลว่าต้องเป็นแชมป์ คนเก่งขายได้ด้วยตัวเองครับ หรือมองว่าตำแหน่งแชมป์มีไว้เพื่อคนที่ไม่มีอย่างอื่นไว้ขายด้วยซ้ำ ลองนึกภาพโรมันเรนจ์ไม่มีแชมป์สิ เราจะซื้ออะไรจากเขาดี ถามว่าบทเก่งเว่อร์มั้ย ผมว่าไม่ ถ้าเทียบกับซีน่าหรือออตั้นสมัยท้อปฟอร์ม แต่ถือแชมป์ยาวจากการช่วยเหลือออกแนวน่ารำคาญแบบ nWo ที่เอะอะก็รุม ตีระฆังยุติแมตช์แล้วขึ้นไปยืนกันเต็มเวทีมากกว่า
  • การเป็นแชมป์ผมว่าเขาดูจากหลายอย่างแต่ที่ผมคิดว่าสำคัญคือ “ขายของได้” กับ “ทำให้เชื่อ” ว่าคนๆนี้เหมาะสม หลายทีที่เห็นคนลองชิมลางขึ้นมาเป็นแชมป์แล้วก็หายไปเลย
  • เป้าหมายโอตาคุคือต้องแชมป์ เป้าหมายนักมวยปล้ำคือความสุขของคนดู ตัวอย่างสมัยนี้ก็พวกแซมีเซน เควินโอเว่น หรือซิกเล่อร์ พวกนี้ประกาศชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการชนะ หากเขาเล่นบทต๊องๆแล้วคนดูมีความสุขนั่นคือสิ่งที่เขาจะทำ แปลกนะนักมวยปล้ำไม่เดือดร้อน ไปเดือดบนหัวคนอื่น
  • Dave Meltzer rating มีไว้สำหรับคนที่ไม่รู้ว่ามวยปล้ำที่ดูสนุกยังไง อันนี้เมืองนอกเขาจะเข้าใจกันดี คุณภาพคืออะไร นอนเขยิบก็ไม่น่าใช่แล้ว
  • อย่าดูเรตติ้ง อย่าดูยอดขาย แต่ดูผล WON ผลจากไหนนะ … จากคะแนนโหวต … ไม่เอาน่า
  • ผมเบื่อการจับกลุ่มแกงค์ใหญ่ๆ แต่เด็กน้อยอาจชอบนะอารมณ์แบบนักเรียนยกพวกตีกัน รู้สึกมัน “เก๋า” ดี
  • มากกว่าการแสดงบนเวทีคือการเป็นแรงบันดาลใจให้ใครสักคน เหมือนเร็วๆนี้ที่แม่พาลูกชาวยูเครนลี้ภัยไปอเมริกาได้เพราะอ้างว่า “จะพาไปเจอจอห์นซีน่า” ลูกถึงยอมไป สมัยก่อนผมก็เกลียดนะเกรียนเทพ ปล้ำไม่กี่ท่าแต่ชนะเอาชนะเอา แต่พอเจอข่าวแบบนี้ก็รู้สึกชัดไปอีกว่ามวยปล้ำแบบที่เราดูมันก็แค่มุมหนึ่งของโลกคนดูมวยปล้ำเท่านั้นเอง
  • ความชอบเรา ความชอบคนอื่น การนำเสนอต้องตอบโจทย์ที่สุด การทำมวยปล้ำที่ขาดมิติสุดท้ายก็จับคนได้กลุ่มเดียว ยิ่งถ้ามิติที่เราเน้นเข้าหา ดันเต็มไปด้วยข้อวิจารณ์กลายเป็นอาณาจักร Botchamania ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ นั่นคงเป็นเหตุผลที่ช่วงปีสองปีนี้บทของ WWE มันส่งอะไรมาก็ได้ … เพราะคู่แข่งกากด้วยรึเปล่า

หากตามที่กล่าวมาผมว่าเพจนั้น “ดูมวยปล้ำไม่เป็น” หรือ “ดูเป็นแบบเด็กน้อยอยากโต” แต่ภาษาเขาเก่งนะ น่าจะเป็นพวกเด็กที่ใช้ชีวิตตามกรอบของพ่อแม่ ไม่แปลกใจที่คนพวกนี้จะหัวฟัดหัวเหวี่ยงทันทีที่เจอตาแก่วินซ์สเวิร์ฟ เหมือนโดนขัดใจ หรือทำหน้าแหก แล้วงอน “เค้าจะไม่ดูตัวแล้วนะ” แต่เสือกมีให้เห็นมาด่าได้ทุกระยะ (อ้าว ตัวเองก็รู้แก่ใจนี่ว่าอันไหนขายได้) สมัยก่อนชอบเข้าไปอ่านข่าวแปลที่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เหลือเพียงความเป็นกลุ่มก้อน Anti-E จิตหงุดเงี้ยวแค่นั้นเอง หากมีใครจัดมวยปล้ำแล้วจะดูถูกสติปัญญาคุณ ขอบอกว่าไม่ต้องห่วง

ไม่มีใครดูถูก สิ่งที่คุณไม่มีได้หรอก

Pro wrestling กีฬาเพื่อความบันเทิง ดูให้สนุก ถามตัวเองว่าดูไปทำไม ดูแล้วสนุกรึเปล่า ถ้าไม่แน่ใจขนาดต้องหาพวกหาเหตุผลมายืนยันว่าสิ่งที่ตัวเองดูมันสนุก นั่นแปลว่า คุณเองไม่ได้สนุกกับมันหรอก เราไม่จำเป็นต้องสนุกกับทุกหนังรางวัลออสการ์ หรือสเปคปิ๊งแล้วใช่เลยกับนางงามจักรวาลก็ได้ … ถ้ามีความคิดเป็นของตัวเอง

บริษัทรักษาความสะอาด

วันนี้มาเล่านิทานจากความหัวร้อนในองค์กรที่ทำอยู่
ณ เมืองแห่งหนึ่ง มีบริษัทรักษาความสะอาด มีหน้าที่เก็บขยะ กวาดถนน เพื่อรักษาความสะอาดให้เมือง ซึ่งมีอยู่ 10 ซอย

บริษัทมีคนอยู่ 4 คน
– ผู้จัดการ
– คนขับรถขยะ
– คนกวาดถนน
– คนเก็บขยะ

กิจวัตรประจำวันของพวกเขาก็เหมือนที่เทศบาลหรือ กทม. คือนำรถไปเก็บขยะตามบ้าน และกวาดเศษขยะตามข้างถนน เพื่อให้เกิดความสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย มีอยู่วันหนึ่ง
ผู้จัดการสังเกตุการทำงานของลูกน้องทั้ง 3 คน จึงเกิดความคิดในการบริหารแบบใหม่

“ระหว่างงานในแต่ละจุด คนขับรถขยะว่างงานนี่”
“ทำไมระหว่างรอ ไม่ไปเดินถือที่ตักขยะเดินตามคนกวาดถนน”
“ทำไมไม่ไปช่วยคนเก็บขยะมัดปากถุง”

คนขับรถขยะจึงมีความเห็นแย้งว่า
“ทำไมไม่ให้คนกวาดถนนถือที่ตักขยะเอง และคนเก็บขยะไม่มัดปากถุงเองล่ะ”

ผู้จัดการจึงตวาดกลับมาว่า
ทำไมแกไม่เห็นคุณค่าของงานที่แกทำ

ด้วยความกลัวคนขับรถขยะก็ได้แต่คิดในใจ
“งานผมคือขับรถ คุณค่าคือการเคลื่อนย้ายและขนส่ง ถ้าให้ไปกวาดถนนผมก็รู้คุณค่างานว่าทำให้ถนนสะอาด แต่ให้ไปเดินถือที่ตักขยะเดินตามคนกวาดแล้วภูมิใจ อันนี้ใครมันจะไปนึกออก (วะ) แล้วคนกวาดเป็นอะไรสะพายที่ตักระหว่างเดินไปไม่ได้”

แต่ก็ ได้แค่คิดแล้วก็ทำตามคำสั่ง เช้ามาดูความเรียบร้อยของรถ ขับพาคนกวาดและคนเก็บไปแต่ละจุด จากนั้นก็เดินลงไปถือที่ตักขยะและมัดปากถุง เมื่องานจบในวันก็ขับรถพาคนกวาดและคนเก็บไปลงสำนักงาน และขับรถเอาขยะไปทิ้งในที่ทิ้งขยะต่อจึงวนรถกลับสำนักงาน

สิ้นเดือนประเมินผลงาน ผู้จัดการตัดสินว่าคนที่ประสิทธิภาพต่ำที่สุดคือ “คนขับรถขยะ” ด้วยเหตุผลที่ว่า
– ว่างงาน
– บ่ายเบี่ยงงาน
– ทำงานไม่ได้ตามที่คาดหวัง
สิ่งที่ผู้จัดการ “คาดหวัง” จากคนขับรถขยะคือทำไมไม่คิดระบบ logistic
ใน 10 ซอยที่ดูแลอยู่ทำไมคนขับรถขยะไม่วิเคราะห์และจัดทำกลยุทธ์ ถึงจำนวนครัวเรือนในแต่ละซอย ปริมาณขยะของแต่ละซอยในแต่ละวัน เพื่อให้เกิดระยะทางรอบวิ่งที่น้อยที่สุด ทำไมไล่เก็บเรียงซอยไป ถ้าคนขับรถขยะทำ optimization เช่นวันจันทร์ เก็บซอย 1 กับ 3 วันพุธค่อยมาเก็บซอย 2 4 และ 5 และการทิ้งขยะทำไมคนขับรถขยะไม่แยกขยะด้วยและนำไปทิ้งในแหล่งที่รับซื้อเลย ทำไมไม่รู้จักหาตลาด

“แกทำงานสู้คนกวาดขยะ กับคนเก็บขยะไม่ได้เลย เอาไม้กวาดไปอีกอันเพื่อช่วยคนกวาดขยะกวาดด้วย เพราะฉันอยากให้ทุกคนในบริษัทต้องทำงานอย่างมีความสุข”

สุดท้ายทั้งตำแหน่งและเงินเดือนก็เทไปทางคนกวาดและคนเก็บขยะ

คนขับรถขยะจึงโวยกลับไป
“ถ้าอยากให้วิเคราะห์ด้วย ก็ขอไม่ถือที่ตัก มัดปากถุงได้มะ”

ผู้จัดการด่ากลับ
“ทำไมแกมีไมด์เซทแบบนี้ ทำไมไม่ช่วยกัน”

คนกวาดขยะเสริม
“คนขับรถขยะจะเห็นเส้นทางมากกว่าคนอื่น ช่วยจัดคนลงพื้นที่กวาดขยะหน่อยสิ”

ทุกคนมีความสุขกับงานกินเลี้ยงฉลองปีใหม่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส จบปิ๊ง

———————————————————————————————-

การบ้านเผื่อว่างคิดนะครับ ถ้าบริษัทคุณมี resoures แบบนี้
ผู้จัดการ เงินเดือน 150 บาท มี 5 คน
ลูกทีมผู้จัดการ เงินเดือน 80 บาท มี 2 คน

หัวหน้าคนขับรถขยะ เงินเดือน 70 บาท
ลูกทีมคนขับรถขยะ เงินเดือน 30 บาท มี 4 คน

หัวหน้าคนกวาดขยะ เงินเดือน 120 บาท
รองหัวหน้าคนกวาดขยะ เงินเดือน 100 บาท มี 18 คน
ลูกทีมคนกวาดขยะ เงินเดือน 40 บาท มี 50 คน

หัวหน้าคนเก็บขยะ เงินเดือน 120 บาท
รองหัวหน้าคนเก็บขยะ เงินเดือน 100 บาท มี 13 คน
ลูกทีมคนกวาดขยะ เงินเดือน 40 บาท มี 45 คน มีเบี้ยเลี้ยงพิเศษ

จงจัดกลุ่มงานลงกิจกรรม
– วิเคราะห์เส้นทางและกลยุทธ์การจัดเก็บขยะ
– ขับรถขยะ
– กวาดขยะ
– เก็บขยะ
– จัดลูกทีมลงแต่ละกิจกรรมใน 10 ซอย

ดูแล้วไม่ยากนะครับ แต่รู้มั้ยคนเงินเดือน 6 หลักคิดไม่ได้

คราวหน้าถ้ามีเวลาจะมาพูดถึง “การบริหารระบอบซุปเปอร์แมน” กันครับ

เงินไปไหน

บลอกตอนสั้น เกี่ยวกับคนนึงที่ทำงาน

เขาเป็นสลิ่ม และมักด่าเด็กหรือคนที่รายได้ต่ำว่า

“ไม่เสียภาษี อย่ามาแสดงความเห็น อย่ามาขอนั่นนี่ให้มาก” “เอาแวทมานับเป็นภาษี น่าสมเพชจัง”

ทั้งที่บ้านตัวเอง คนนึงทำงานองค์กรการกุศลรายได้ดี แต่ไม่ต้องเสียภาษีเพราะได้รับยกเว้น
ตัวเองทำงานรายได้เยอะ (แต่คุ้มกับเงินที่ภาครัฐจ่ายให้แต่ละเดือนรึเปล่าอันนี้ไม่ขอพูดนะ) ในแต่ละปีซื้อประกันและลดหย่อนภาษี 100%

คนแบบนี้นับว่าเสียภาษีเงินได้รึเปล่า ?

ลองเขียนสมการ input > output ง่ายๆ
ขั้นตอนเสียภาษีเงินได้
ภาษีเงินได้ (0) > ภาษีเข้ารัฐ (1)
ขั้นตอนซื้อประกัน
เงินซื้อประกัน (2) > เงินเข้าบริษัทประกัน (3)
ขอลดหย่อนภาษี
ภาษีเข้ารัฐ (1) > กลับเข้ากระเป๋าตัวเอง (0)

เงินคุณไปอยู่กับภาครัฐตรงไหน ?
ถ้าบอกว่า (2) มันเยอะกว่า (1) มากๆนะ นั่นคือความคุ้มครองที่ประกันเสนอให้คุณ อย่าว่าแต่จะเรียกร้องบุญคุณกับรัฐ เรียกร้องบุญคุณกับบริษัทประกันยังไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะมันคือสัญญาต่างตอบแทน

คนแบบนี้มีประโยชน์ทางภาษีเงินได้ มากกว่าพวกคนเงินเดือนแตะฐานเสียภาษี แต่ไม่มีลดหย่อนสักบาทตรงไหน ?

สรุปคือคุณเงินเดือนแสน แต่ประโยชน์ต่อประเทศน้อยกว่าคนเงินเดือนสองหมื่นครับ

ยังไม่นับความคุ้มค่าในการทำงานที่คุ้มกับเงินเดือนที่รับนะ

Mortal Kombat 2021 : 26 ปีที่รอคอย

หนังจากเกมที่เคยดูมาส่วนใหญ่ล้วนไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ หนึ่งในนั้นคือเรื่อง Mortal Kombat ครับ ซึ่งเกมนี้โดนจับเป็นหนังครั้งแรกเมื่อปี 1995 แม้หลายคนวิจารณ์ว่ามันไม่ได้เรื่อง แต่ผมชอบแฮะไม่ต้องอะไรมากบู๊รัวๆกับดนตรีมันส์ๆ และก้เป็นหนังจากเกมที่ผมชอบที่สุดเลย จนมาภาค 2 เละไม่เป็นท่าเอาตัวละครมาตายรัวๆอย่างน่าเสียดาย ในยุคนี้การ reboot เกมเก่า หนังเก่า เริ่มมีเยอะและก็เป็นจริงกับการ reboot หนังเรื่อง Mortal Kombat ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันต้องน่าดูขึ้นเป็น 10 เท่าแน่เลย

เนื้อเรื่องก็ โคล ทายาทของสกอเปี้ยน (ขี้เกียจจำชื่อในหนัง) เดินทางตามน้ำแกมล้างแค้นซับซีโร่ที่ฆ่าญาติโกโหติกาไป ดูแล้วหนังมีความ “เอ๊ะ” มาก ที่จำได้ก็ประมาณนี้
– ฉากมีไม่กี่ฉาก เน้นความอลังการมุมกว้าง แต่รายละเอียดไม่มี ฉากสุดท้ายไปสู้กันในตึกแถว
– ภาพ มุมกล้อง สวยขึ้น น่าจะมีการล่ากันในเมืองชาวบ้านโดนลูกหลงตายมากกว่านี้
– คนสองกลุ่ม “แอบสู้กัน” เพื่อชะตาโลกกับ Outworld นอกจากนักแสดงหลัก (รวมครอบครัวของโคล) แทบไม่เห็นตัวประกอบเลย
– ลูเคงบอกว่าตัวเองเป็นผู้รวบรวมนักสู้ แต่ดันรอเฉยๆจน โคล ซอนย่า เคโน่ ต้องมาหาเอง โผล่มายิงไฟใส่ดันบอกเป็นมิตร
– กังเหลานักสู้ผู้เชี่ยวชาญใช้หมวกมีดเป็นอาวุธ สู้กับเด็กใหม่มือเปล่า เสือกทำท่าอวดเบ่ง
– ชางซุงที่เดินไปเดินมา เหมือนลุงที่จะเดินไปซื้อของแล้วร้านปิดเลยเดินกลับไป-กลับมาจนกว่าร้านจะเปิด
– ท่าในเกมมีมากขึ้น ฉากโหดเยอะขึ้น ผิดกับภาคแรกที่เน้นกลุ่มคนดูเด็กด้วย
– ความเป็นการ์ตูน-เกมน้อยลง ทำให้สีสันลดลงด้วย
– ความจีนทุกหนแห่ง อันนี้ก็ตามเกมหลักล่ะมั้ง Mortal Kombat X เปิดหน้ากากทุกตัวออกมาเป็นอาแปะ
– สกอเปี้ยนผู้มีวิถีซามุไร แต่ดันร่วมมือกับโคลรุมซับซีโร่ พอชนะ เต๊ะท่าได้อีก
– ตัวละครไม่มีบุคลิกภาพ นอกจากเคโน่แล้วทุกตัวเหมือนกันหมด กูต้องเก๊กเท่ เก๊กหล่อ
– เนื้อเรื่องก็ไม่สมเหตุสมผลเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความยืด
– คิวบู๊ดูแล้วหลับ มันช้าเองหรือทำสโลว์ก็ไม่แน่ใจ
– ภาคนี้ซับซีโร่เป็นบอสใหญ่นะครับ ชนะได้จบเรื่อง

ที่ขาดไม่ได้คงเรื่องเทียบกับของเก่าครับ

ชางซุง – คุณป้าที่โผล่มาทีต้องลุ้นว่าเขาจะร้องไห้โฮออกมาไหมนะ หน้าตาขี้แยเหมือนคนโดนแกล้ง
ไรเดน – แป๊ะเตี้ย ขี้งอน ขี้วีน แค่โคลดูรูปครอบครัวหน่อย ไล่กลับบ้าน เหมือนตุ๊ดแก่ที่รู้ว่าชายที่แอบปลื้มมีครอบครัวแล้วเลยงอน
ซับซีโร่ – เตี้ยเหมือนเดิม โหดแบบครึ่งๆกลางๆ ตัวเก่ากลับดูโหดกว่านิ่งกว่าเป็นเครื่องจักรฆ่าคนมากกว่า ตัวนี้เหมือนเอาตวามจิีกโก๋ไปใส่ให้ตัวเก่า ก็ดูเป็นคนมากขึ้นนะ
ซอนย่า – โอตาคุ MK ไล่ตามคนมีตราแบบไม่มีเหตุผลจนมาเจอกับเคโน่ ตกลงจะพิสูจน์ความเชื่อตัวเอง หรืออยากช่วยโลก ดูแล้วขัดๆ การแสดงดีกว่าเดิม คนเดิมแข็งๆมีแค่ความขาว
เคโน่ – ความจืดชืดของตัวละครเหมือนมารวมที่ตัวนี้ เหมือนเอาเคโน่+เคจจากของเดิมมารวมกัน มีบทมากขึ้น
ลูเคง – ตอนแรกเหมือนหล่อขึ้น แต่พอมาเทียบกันแล้วตัวเก่าดูแอคทิฟกว่า ฉลาดกว่า ตัวนี้ดูเกิดมาเพื่อเป็นเบ๊เซื่องๆ
โกโร่ – รายละเอียดมากขึ้น มีความเป็นออร์คมากขึ้น ดันทำคิ้วตกทำให้หน้าเด๋อขึ้น โหดน้อยลง เหมือนเดิมคือโง่แต่ทรงพลัง ดูกระจอกกว่าเดิมต่อยหลายทีโคลยังเฉย ของเดิมเหมือนโดนจับได้คือตายเลย

ฉากแพ้โกโร่แลดูอนาถกว่าเดิม จากเดิมแพ้เพราะแทคติกของเคจ มาคราวนี้แพ้จริงให้โคล ตับไตไส้พุงไหล
พวกฉากที่มีความเป็นการ์ตูนอยู่ แทบไม่มีก็เลยขาดสีสันความสวยงามไป
อีกหนึ่งความดีงามของภาคเดิม เมืองไทยนี่สวยจริงๆ

บางทีการ “อยากทำให้มันเจ๋ง” ก็ทำให้แย่ลงได้เหมือนกัน
คำสุดท้ายสำหรับเรื่องนี้ครับ

คุ้มค่า คุ้มราคา


ยุคนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ทำให้เวลาเราจะหาซื้ออะไรกินความคิดเรื่องความคุ้มค่าเริ่มมีมากขึ้น
และก็ได้ฟังเสียงบ่นมากขึ้นเหมือนกัน

ทำไมราคาอาหารแพงจัง

บางทีถึงขนาดถอดราคาข้าวกะเพรา 1 จาน
หมูโลละ 120 บาท ไข่ไก่ฟอง 3 บาท ข้าวจาน 5 บาท
วันนี้เลยมาขอพูดถึง “ต้นทุนของเวลา” ครับ

สมมุติคุณเงินเดือน 60,000 บาท
หารเฉลี่ยวันละ 2,000 บาท
ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ตกชั่วโมงละ 250 บาท
ทำผัดกะเพรา 1 จาน ตั้งแต่ล้างผักถึงจัดลงจาน
ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง
ถ้าคุณทำกับข้าวเอง ค่าแรงต่อกะเพรา 1 จานของคุณคือ 125 บาท !!!
ถ้าคุณขายกะเพราจานละ 50 บาท
หักต้นทุนจานละ 20 บาท
เท่ากับคุณมีเงินค่าเวลาเดือนละ 14,400 บาท
พอแบบนี้กะเพราไข่ดาวจานละ 50 บาทดูสมเหตุสมผลขึ้นมาไหม

แต่คิดในทางกลับกัน
ทำงานออฟฟิซไม่มีต้นทุนด้านวัตถุดิบ
ก็ไม่ควรได้รับเงินใช่หรือไม่
ถ้าตอบว่าไม่ ต้องใช้ค่าความรู้ ต้องใช้ฝีมือ
การทำกับข้าวก็ต้องใช้ความรู้ ต้องใช้ฝีมือ


สูงต่ำใครกำหนด
ยุติธรรมหรือยัง

เล่นเกมในวัยแก่

Clip_8

จากตอนก่อนที่อัพเกรดคอม เหตุผลหลักอันนี้คือเกมนี้ครับ Rockman 11

หลังจากที่เป็นแฟนซีรีย์นี้มาตั้งแต่ rockman 4 ด้วยความสนุกและเป็นเอกลักษณ์เลยตามหาและติดตามไปทุกภาค จนมาหยุดที่ภาค 8 เพราะภาค 9 กับ 10 ดันย้อนกลับไปเป็นแบบ 8 bit แถมลงแค่ ps4 แบบต้องโหลดมาเล่น หรือซีรีย์ x ที่หลังๆออกทะเลไปเป็นแนวปาร์ตี้ตัวละครเยอะแยะ 3 มิติ (โซนิคก็เช่นกัน เกลียดมาก) พร้อมกับเสียงลือว่าซีรีย์นี้มันเจ๊งบ๊งไปแล้วเพราะขายไม่ดี จนมาปีที่แล้วประกาศภาคใหม่ 11 ด้วยกราฟฟิคแบบใหม่ ด้วยรูปแบบ 2D platform แบบเดิม งานนี้ไม่มีพลาดครับ คิดไว้ว่าต้องเล่นให้ได้ จนหลังอัพเกรดคอมก็ลงเป็นเกมย้อนความหลังกันหน่อย

ตัวเกมดีมากครับ ชอบมากกว่าภาค 8 ที่ออกทะเลเลอะเทอะมนุษย์ต่างดาวไป ทั้งกราฟฟิคและลูกกระจ๊อกที่สดใหม่ลื่นไหลมาก ติดอย่างเดียวครับ

มันยากจังวุ้ย

เล่นแบบความยากปกติผ่านไปแค่ไม่กี่ด่าน เลยต้องเปลี่ยนมาเล่นแบบง่ายสุดถึงจบได้เห็นตามภาพข้างบนได้ หลังจากจบนึกย้อนกลับไปที่ภาคเก่าๆ เหมือนมันยากกว่านี้นี่หว่า ทำไมสมัยนั้นมันเล่นจบได้แฮะ ตรงนี้พี่ให้เหตุผลไว้ว่า พอแก่แล้วมันหมดความท้าทาย เมื่อตอนเด็กเวลาเจออะไรยากๆก็จะลองซ้ำๆไปจนกว่าจะชนะแล้วผ่านไปได้ แต่พอแก่แล้วมันเริ่มหมดความท้าทายที่จะชนะ ผลคือเมื่อแพ้แล้วจะเบื่อเร็ว อย่างนี้ต้องเล่นเกมให้บ่อยขึ้นให้เกิด passion ที่จะเอาชนะให้ได้ซะแล้ว แต่เอ๊ะ…

เราหมด passion หรือ ฝีมือกระจอกกว่าเดิมกันนะ

 

Upgrade !!

ในยุคที่อุปกรณ์ไอทีไปแนวสำเร็จรูปอย่างมือถือ แทบเลท โน๊ตบุ้ค ที่จ่ายทีเดียวจบครบเครื่อง เลยมาขอเรื่องเล่าของพวกคนโบราณอย่างการอัพเกรด pc หลังจากห่างหายไปนานครับ

เหตุเกิดจากเกมสมัยใหม่ต่างย้ายไปเป็นระบบ 64 bit เกือบทั้งหมด ก็ถึงคราวต้องลง window ใหม่ แต่จะลงใหม่อย่างเดียวทั้งทีก็ใช่เรื่อง ไหนๆเหนื่อยทั้งทียกเครื่องใหม่ไปเลยดีกว่า

จากเครื่องเดิม core i5 3450 การ์ดจอ gts 250 ตัวหลักตั้งแต่ปี 2012 ระหว่างนั้นก็เปลี่ยน/เพิ่ม กระจุ๊กกระจิ๊กไปเรื่อย แรม ฮาร์ดดิสก์ พาวเวอร์ จนมายุคปัจจุบัน cpu ก็ปาเข้าไป gen 9 แล้วแต่ราคาแพงเหลือเกิน

แต่แล้วก็โชคดีที่ “ช่วงที่คิดจะอัพเกรดคอม” เกิดตัว 9400f cpu ที่เป็นตัวขายไม่พ่วงเบียร์ ไม่ต้องมีกราฟฟิคมาแฝงด้วยเพราะไงๆก็ต้องซื้อการ์ดจออยู่แล้ว เลยคิดว่าตอนนี้แหล่ะคือโอกาสเหมาะ

เป้าหมายคือคอมสเปคกลางๆ ส่วนการ์ดจอที่เล็งไว้ก็ตัว gtx1060 เพราะตัวท๊อปอย่าง 1080 หรืออีกสถาปัตย์อย่าง rtx ก็ราคาสูงเกิน ลองจัดสเปคจากเวบที่ให้บริการอย่าง jib advice หรือ notebookspec ก็ได้สเปคในใจละ ว่าจะไปอัพประมาณ 20-21 เม.ย. แต่พอเอาเข้าจริงเงินไม่มีครับ เลยไม่ได้อัพ ต้องถัดไปอีกสัปดาห์ ปรากฎว่า…หา 1060 ไม่เจอแล้วครับ ไปเจอแต่ตัวเลขใกล้ๆกันคือ gtx1660 ที่แรงกว่าและราคาถูกกว่า เลขถือว่าเป็นโชคที่ไม่มีตังค์ครับ สรุปสเปคใหม่ที่จะไปจัดคือ core i5 9400f การ์ดจอ gtx1660

เมื่อจัดสเปคเสร็จก็เซฟหน้าจอแล้วเดินทางไปยัง อดีตเมืองหลวงของชาวไอที “พันทิพย์ พลาซ่า” เดินเข้าไปก็นึกถึงตอนสมัยเด็กที่พ่อพามาซื้อคอม สมัยนั้นพ่อจะมีสมุดพกหนึ่งเล่มกับปากกาหนึ่งด้าม โดยแต่ละร้านจะปรินต์ใบราคาแขวนไว้หน้าร้านเต็มเหยียด พ่อก็ดูตามร้านพลางจดราคาสเปคที่ต้องการลงบนสมุดพกนั้น สมัยนั้นยังไม่มีร้านใหญ่อย่าง jib หรือ banana it ครับ จะมีก็แต่ it city โดยแต่ละร้านราคาบางตัวถูกกว่า บางตัวแพงกว่า เมื่อเช็คราคาแล้วก็ซื้อแยกส่วนในร้านที่ราคาถูกที่สุดแล้วไปประกอบที่ร้านรับลง window (สมัยนั้นไม่ได้หาโหลดโปรแกรมง่ายแบบสมัยนี้นะ) เสร็จแล้วรอประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้คอมพิวเตอร์กลับไปใช้งาน นึกถึงสมัยนั้นก็สนุกดีครับ มีความรู้สึกว่าคนที่จะไปซื้อคอมนี่ต้องเก่งมากเลย

กลับมาปัจจุบัน ร้านที่ผมไปเช็คราคามีอยู่ 3 ที่ครับ คือ jib ที่มีจัดงานลดแลกแจกแถมอยู่ชั้นล่างพอดี advice และร้าน speed ที่คุ้นเคยกับการหาซื้อ handy drive เพราะมีให้เลือกหลากหลายที่สุด มาถึงสมัยนี้ไม่มีราคาให้จดแล้วครับ เพราะข้อมูลมีอยู่บนเวบไซต์ทั้งหมด พอถามราคาพนักงานก็จะไปกดหาจากในเนตนี่แหล่ะ พอเห็นอุปกรณืที่เราไม่ได้หาราคามาแล้วอยากรู้ก็ต้องถามพนักงานทีนึง ไม่สามารถเดินเลียบๆเคียงๆแบบแต่ก่อนได้แล้ว (กดหาในเนตเองก็ช้ากว่า) เดินวนเช็คราคาอยู่นานสรุปได้ประมาณว่า ร้าน advice ถูกสุด (ไม่ทุกตัว) แต่ของไม่ค่อยมี (อยากได้ mainboard รหัส H…) เลยไปจบลงที่ร้าน speed ที่การ์ดจอถูกสุดครับ รอประมาณ 2 ชั่วโมง เอ๊ะ วินโดว์ก็ไม่ต้องลงทำไมช้า ปรากฎว่าเขาพยายามลงไดรเวอร์การ์ดจออยู่แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากใหม่เกินไปต้องอัพเดทวินโดว์ถึงจะรู้จักกัน เลยให้เอาไปอัพที่บ้านเองก็สำเร็จได้ด้วยดี

กลับมาบ้านได้คอมใหม่
mainboard H77 > H370
cpu core i5 3450 > 9400f
gpu gts 250 > gtx 1660
ram 1333 4Gb > 2666 8Gb
hdd 2 Tb barracuda (ของเดิม 1+1 รวมเป็น 4 Tb)
psu 530 W ของเดิม
case ของเดิม
หมดไป 2 หมื่นกับเศษไม่ถึงพัน แฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่ที่ฟินกว่านั้นคือการได้รำลึกถึงบรรยากาศเดิมๆที่เดินตามพ่อไปซื้อคอมนี่แหล่ะ ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือจำนวนผู้คนที่อยู่ในนั้น สมัยก่อนนี่แน่นอย่างกับมาบุญครอง แต่ปัจจุบันร้างคนมาก ยังไงก็ขอให้ยังอยู่คู่สาวกชาวไอทีแก่ๆคนนี้ต่อไปนะ ตอนไปนี่ก็พาเจ้าตัวเล็กไปด้วยเผื่อจะซึมซับบรรยากาศจากพ่อบ้าง 555

ข้อคิดนิดหน่อยเรื่องไอที : ซื้อก่อนใช้ก่อน อย่าเสียดายเพราะยังไงราคาก็ลง แต่ถ้าจะให้ดีก็เช็คราคานิดนึงว่าตัวใหม่มันยังไม่ออกเร็วๆนี้

20190428_100418946_iOS

ชุมชนคนพันธุ์ Blog

ในสมัยนี้มีชาวบลอกเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด บ้างก็เพื่อความบันเทิงส่วนตัว บ้างก็อยากดัง บ้างก็สร้างรายได้อย่างจริงจัง หรือเพื่อระบายอารมณ์เรื่อยเปื่อยแบบบลอกนี้ก็คงมีบ้างแหล่ะ 555

ยิ่ง social media โด่งดัง การติดต่อสื่อสารก็ยิ่งง่ายขึ้น การเขียนบลอกผมมองว่าเป็นเสมือนการเล่าเรื่องที่มีคนฟังในวงกว้าง มีการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นกันก็เหมือนนัดคุยนัดโชว์กับเพื่อนกลุ่มใหญ่

ผมนึกถึงสมัยเริ่มต้นของสังคมบลอกก่อนที่บลอกส่วนตัวจะโด่งดังสมัยนั้นรวมกลุ่มจากบลอกตัวหลัก ก็นึกถึง oknation หรือ bloggang ซึ่งก็ไม่ได้สนใจหรอกครับ เพราะไม่ได้ขยันพิมพ์ขนาดนั้น ได้แต่อ่านของคนอื่นไปเรื่อยก็เพลินดี

โดยที่สนใจคือกลุ่มของ รูปถ่ายกับท่องเที่ยว ครับ

หลังจากที่ไม่ได้เข้าไปนานเกือบ 10 ปี เมื่อสัปดาห์ก่อนจัดระเบียบบุ้คมาร์คเห็นลิงค์เก่าๆเลยแวะเข้าไปดูนิดหน่อย เวลาไม่ค่อยมีเลยเลือกดู Photo กับ Travel ตัวท๊อปของเวบเลยครับใน BlogGang Popular Award #14 แอ่น แอ๊น !!!

โอ้โฮ ประทับใจมาก ความทรงจำเก่าที่หลั่งไหลมาในทันใดเลยครับ … รูปถ่ายสวยมาก ส่วนท่องเที่ยวแปะรูปรัวๆ ที่สำคัญหน้าตาอาม่าอาแปะเต็มไปหมด เกือบอุทาน “เชี่ยไรวะเนี่ย” ขึ้นมาดังๆ ขนาดตัวรางวัล ยังขนาดนี้ กดไปดูอันสองอันแทบกดลบบุ้คมาร์คไม่ทัน ลบทิ้งไปแบบไม่ต้องเสียดาย ไปดูคนหัดเล่นเฟซยังถ่ายรูปเล่าเรื่องได้เข้าท่ากว่าเลย 555